[vc_row][vc_column][vc_column_text]
จะขี่รถในสนามต้องเติมลมยางเท่าไหร่ดี
[/vc_column_text][vc_column_text]ขี่ในสนามแข่งควรเติมลมรถมอเตอร์ไซค์เท่าไหร่ และคงมีคำถามต่อว่า ถ้าอยากจะขี่รถในสนามแข่งต้องเตรียมตัวอะไร…อย่างไรบ้าง…ซึ่งถ้าจริงๆก็ต้องมีการเตรียมตัวเยอะพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของการฝึกฝนที่อาจจะต้องฝึกให้มีความคุ้นเคยพอสมควรกับการขับขี่ในสนาม สำหรับมือสมัครเล่นการได้ลงสนามเพื่อสัมผัสกับไลน์การขับขี่ในสนามคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นและท้าทายเป็นที่สุด ถ้าหากได้ลงสนามแล้วจะเตรียมตัวอย่างไรดีที่นอกเหนือจากการเตรียมตัวเรื่องของอุปกรณ์การขับขี่แล้ว รถก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมเช่นกัน เพื่อให้รถสามารถรองรับกับการขับขี่ในสนามได้ ซึ่งก็มีหลายส่วนที่พอจะปรับให้มีความใกล้เคียงกับรถแข่งได้ อย่างเช่นช่วงล่าง บางรุ่นสามารถปรับให้มีความใกล้เคียงกับรถแข่งหรือการแข่งขันในสนามได้ แต่บางรุ่นก็ต้องปรับแค่บางส่วน ดังนั้นส่วนที่จะเข้ามาช่วยให้การขับขี่ในสนามสนุกมากขึ้นก็คือที่ตัวยาง ซึ่งพอที่จะปรับให้มีความใกล้เคียงกับรถแข่งได้[/vc_column_text][vc_single_image image=”13871″ img_size=”full”][vc_column_text]
ขนาดลมของยางหน้า-หลัง
การใช้ลมยางในสนามแข่งโดยปกติแล้วจะเติมลมยางให้อ่อนกว่าการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นยางปกติที่ใช้ทั่วไปแล้วสามารถเซตลมยางให้นิ่มหรือมีความใกล้เคียงกับรถแข่งได้เช่นกัน ลองมาดูยางในสนามแข่งกันว่านักแข่งจะใช้ลมยางกันอยู่ที่เท่าไหร่ถึงมีความเหมาะสมกับความเร็วในสนามแข่ง จากพื้นฐานของยางแต่ละยี่ห้อจะมีสเป็คแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หนีห่างกันมากนัก เอาเป็นว่ายางจะมีข้อมูลบอกสามารถดูได้ที่แก้มยางจะมีสเปกบอกการเติมลมยางกันอยู่แล้ว โดยปกติของยางที่ใช้งานนั้นก็จะมีพื้นฐานการเติมลมยางอยู่ที่ยางหน้า 34-36 ปอนด์ และยางหลังที่ 37-42 ปอนด์ เรทก็จะอยู่ประมาณนี้ แต่สำหรับรถแข่งแล้วการใช้ลมยางก็จะเปลี่ยนไปคือลมยางจะนิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องบอกก่อนว่าสาเหตุที่ใช้ยางนิ่มก็เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นสนามได้มากขึ้นและช่วยเกาะพื้นสนามได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รถแบนในโค้ง ซึ่งจะเป็นส่วนที่ยางรับหน้าที่หนักที่สุดในการยึดเกาะสนาม โดยที่การใช้ลมยางในสนามแข่งลมยางหน้าจะแข็งกว่าลมยางหลัง สาเหตุที่ลมยางหลังอ่อนกว่าลมยางหน้าเพื่อใช้เป็นตัวรองรับกับแรงม้าของเครื่องยนต์ที่ต้องเปิดคันเร่งก่อนออกจากโค้ง กำลังแรงม้าจะถูกกดไปที่ยางหลังทำให้ต้องใช้พื้นที่ของยางหลังมากกว่าปกติ ส่วนการใช้ลมยางหน้าให้แข็งกว่านั้นก็เพื่อรองรับกับแรงกดในช่วงการเบรก และน้ำหนักที่ถูกเทมาที่ด้านหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของรถหรือว่าผู้ขับขี่เอง ถ้ายางหน้านิ่มเกินไปก็จะทำให้รถเสียอาการได้ง่ายเมื่อต้องมีการเบรกหนักๆก่อนเข้าโค้ง[/vc_column_text][vc_single_image image=”13882″ img_size=”full” alignment=”center” onclick=”custom_link” link=”https://realmotosports.com/promotions/#modal-promo-sport”][vc_single_image image=”13888″ img_size=”full” alignment=”center”][vc_column_text]
วัดลมขณะยางเย็นตัว
สำหรับการเซตลมยางที่ใช้สำหรับในสนามแข่งหรือว่าในสนามแข่งนั้นจะมีการวัดอยู่ 2 แบบ คือการวัดลมยางในขณะที่ยางยังเย็นตัวอยู่หรือที่เรียกกันว่า “วัดลมเย็น” และวัดลมยางในขณะที่ยางอุณหภูมิสูงหรือว่ายางร้อน หรือที่เรียกกันว่า “วัดลมร้อน” ถ้าเป็นในรถแข่งจะต้องทำการวัดทั้ง 2 แบบ ยางที่ใช้ในสนามแข่งจะเติมลมยางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่โดยที่ใช้ยางหน้า 26 ปอนด์ และยางหลัง 24 ปอนด์ ส่วนนักแข่งบางคนอาจจะมีการใช้สเปกที่ต่างไปจากนี้ได้ก็ ซึ่งขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่ของนักแข่งแต่ละคน นอกจากนั้นยังมีการวัดในช่วงที่ยางร้อนหรือว่าเป็นยางที่ถูกวอร์มด้วยผ้าวอร์มยาง ที่เห็นกันอยู่บ่อยก่อนที่นักแข่งจะทำการแข่งขันก็จะมีผ้าคลุมอยู่ที่ยางเพื่อให้ยางมีอุณภูมิที่ร้อนขึ้นเพื่อให้ยางสามารถลงไปทำการแข่งขันในสนามได้เลยโดยที่ไม่ต้องวอร์มอีกครั้ง อุณภูมิที่ใช้จะอยู่ที่ 80 องศา ในช่วงนี้จะมีการวัดลมร้อนกันอยู่ที่ยางหน้า 30 ปอนด์และยางหลัง 28 ปอนด์ แต่สำหรับการขี่ในสนามแบบสมัครเล่นก็ไม่จำเป็นที่จะใช้ผ้าวอร์มยาง เพียงแค่วัดลมยางขณะที่ลมยางเย็นตัวอยู่ แล้วเซตลมยางให้อยู่ในเกณฑ์ของยางหน้า 26 ปอนด์ และยางหลัง 24 ปอนด์ โดยใช้เครื่องมือวัดลมยางวัดก็ได้เช่นกัน หรืออาจจะมากกว่านั้นหรือว่าน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่ ส่วนคนที่ชอบเดินคันเร่งหนักก็น่าจะใช้สเปกนี้ยืนพื้นได้ เพราะช่วงที่เปิดคันเร่งเร็วๆนั้นจะต้องอาศัยยางหลังช่วยในการพยุงรถให้นิ่งมากที่สุด การเซตลมยางขนาดนี้ในช่วงเวลาแข่งยางก็จะมีความร้อนมากขึ้นตามทฤษฎีอยู่แล้ว[/vc_column_text][vc_single_image image=”13887″ img_size=”full” alignment=”center”][vc_column_text]ในบทความเรื่องสเปกการใช้ลมยางนี้เขียนมาเอาไว้เผื่อว่าใครได้มีโอกาสที่จะได้ไปขี่ในสนาม จะได้เติมลมรถมอเตอร์ไซค์กันได้ถูกและจะทำให้การขับขี่ในสนามสนุกขึ้น ที่สำคัญหลังจากที่ปล่อยลมยางแล้วก็อย่าลืมเติมลมยางคืนด้วย ควรจะเติมลมยางในขณะที่ยางเย็นตัว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้รู้สึกว่ารถกินน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิมหรือว่ารถหนืดขึ้นกว่าเดิมได้
ถ้ามองดูแล้วก็อาจจะดูขัดๆ กันอยู่พอสมควร เพราะในสนามที่ต้องการความเร็วกลับเติมลมยางให้อ่อน แต่อย่าลืมว่าการขี่ในสนามนั้นลักษณะของสนามจะเป็นโค้งมากกว่าทางตรง รถจึงจะมีการใช้หน้าสัมผัสยางมากกว่า ฉะนั้นจึงต้องเซตรถให้เหมาะกับลักษณะของการขับขี่ในสนามมากกว่า ถึงแม้จะเซตให้ลมยางอ่อนก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ารถช้าลง เพราะด้วยกำลังของเครื่องยนต์นั้นเอง แต่ถ้าเป็นรถแข่งจริงๆก็จะมีส่วนอื่นเข้ามาทดแทนทำให้รถไม่เสียกำลังไปโดยป่าวประโยชน์ สำหรับการเซตลมยางเพื่อใช้ลงขี่ในสนามก็จะมีประมาณนี้ เผื่อว่าเพื่อนๆ จะเอาเป็นข้อมูลหากมีโอกาสได้ขี่ในสนามแข่ง อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับมือใหม่คือ จำเป็นมั้ย เริ่มต้นขี่รถในสนามแล้วเข่าต้องเช็ดพื้น ?
เดี๋ยวนี้ต้องยอมรับจริงๆ ครับว่าหลายๆแบรนด์เริ่มทำรถออกมาให้ตอบโจทย์ทั้งขี่ทั่วไปและในสนามออกมาหลากหลายรุ่นโดยเฉพาะค่าย Kawasaki มีตั้งแต่ Njnja250 Ninja400 ไปจนถึง ZX-10R และ Kawasaki Ninja H2[/vc_column_text][vc_single_image image=”13882″ img_size=”full” alignment=”center” onclick=”custom_link” link=”https://realmotosports.com/promotions/#modal-promo-sport”][vc_column_text]