สำหรับการเลือกรถซักคัน ซีซี ของรถคงเป็นประเด็นหลักๆ ที่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ว่าควรจะอัพไปที่ ซีซีเท่าไหร่ดี ทั้งนี้ในแต่ละซีซี มันแตกต่างกันอย่างไร หรือว่าสุดท้ายแล้วเราควรตอบโจทย์ด้วยการอัพไปที่ 1000 ซีซี ให้รู้แล้วรู้รอด วันนี้ ศูนย์ Kawasaki Real MotoSports มีทางออกให้คุณ
เมื่อถึงงานMotor Show งาน Expo ทีไร ก็มักจะมีคำถามนี้มาให้เห็นประจำ เป็นคำถามของมือใหม่ที่กำลังสนใจดูรถสองล้อ แม้จะทราบเนือง ๆ ถึงอันตรายของรถซีซีสูง แต่ด้วยงบที่มีจำกัดเลยลังเลในการเลือก ก่อนอื่นผมขอสรุปแบบฟันธงไปเลย ณ ที่นี้นะครับ ว่า
“การค่อยๆอัพซีซีรถ ปลอดภัยต่อชีวิตตัวคุณเองมากที่สุดครับ”

แน่นอนการยอมรับความเสี่ยงในชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน วัยรุ่นก็จะห้าวหาญ เสี่ยงได้มากกว่าคนที่สูงวัยขึ้น มีหน้าที่รับผิดชอบในชีวิตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเตือนให้มองกันยาวๆ เพราะถ้ามองเฉพาะหน้าก็จะเห็นว่า การไปซื้อรถซีซีสูงๆคันแรกเลยแล้วจบเพราะกลัวไม่พอมือ จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อคันไหนอีกบ่อยๆนั้น มันก็อาจจะจริงเฉพาะตอนคุณจ่ายเงินซื้อครั้งแรก แต่อย่าฟังแต่เสียงเชียร์ของคนที่บอกว่าซื้อเลยๆ เค้าก็เริ่มที่ 800-1000 ซีซี ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ขอให้พิจารณาประเด็นถัดไปก่อน ซึ่งคนที่เพิ่งหัดเริ่มขี่Big Bike จะมองเรื่องพวกนี้ไม่ออกครับ


1. รถที่ซีซีสูง เผลอล้มขึ้นมา คือค่าใช้จ่ายหลักแสน ขณะที่รถ beginner bike ซ่อมหลักพันหลักหมื่น
2. ถึงแม้จะมีประกันชั้นหนึ่ง รถซีซีสูง เบี้ยประกันรายปีก็สูงหลัก 2-3 หมื่น แถมถ้าเป็นฝ่ายผิด ไม่มีคู่กรณี ค่า excess ว่ากันไปที่หลัก 20,000-50,000 ได้เลยทีเดียว ในขณะที่รถ beginner bike เบี้ยประกันหลัก 10,000 ต้นๆ ค่า excess ก็ไม่แพงมาก
3. อะไหล่สิ้นเปลือง ค่าบำรุงรักษา ของแต่งต่างๆ ของรถซีซีสูง ราคาแพงกว่ารถ beginner bike หลายเท่าตัว ลองสืบราคาอะไหล่ตามกลุ่มเฟซบุ๊กต่าง ๆ ก่อน รถบางรุ่นบางยี่ห้อ ราคาอะไหล่แพงราวทองคำจนไม่น่าเชื่อ แถมรถรุ่นสูงๆหลายคัน มีความซับซ้อนมากต้องพึ่งพาศูนย์บริการอย่างเดียว


4. ถ้าเป็นรถ big bike คันแรก ทำใจไว้ได้เลยว่า คนที่ซื้อมาแล้วขี่ประจำ (ไม่ได้ซื้อมาจอด) อย่างน้อยจะต้องมีเผลอล้มแปะสักครั้งแน่นอน แม้จะระวังแค่ไหน จะมีจังหวะเผลอ เอียงรถมากไปหักแฮนด์มากไปบ้าง เผลอเรื่องขาตั้ง เอารถไปจอดเสียบท้ายรถเก๋ง โดนเขาถอยมาชนบ้าง ยังไม่รวมถึงกับดักบนท้องถนนต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ล้วนๆ บอกกันสอนกันไม่หมด หากเริ่มขี่ที่รถราคาแพง กว่าจะเก็บประสบการณ์ครบ รถก็เยินพอดี เสียค่าซ่อม ค่าบำรุงกระเป๋าฉีก เมื่อเทียบกับคนที่เริ่มจากรถราคาถูกกว่าจนขี่ชำนาญ ระวังภัยรอบตัวดีแล้ว อ่านบทความ 6 เทคนิคเลี่ยง ล้มแปะ จากประสบการณ์ตรง

ตัวผู้เขียนเอง ผ่านรถมาแล้ว 8 คัน (ซื้อมาใช้ประจำวันจริงๆ ไม่ใช่จอด หรือซื้อมาขายไป) เคยทำล้มแปะด้วยตัวเอง 3 คัน ล้มเพราะรถยนต์ 2 คัน แม้จะระวัง ไม่ประมาทแค่ไหน ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุใหญ่ แต่ต้องยอมรับเลยว่าที่ล้มเป็นเพราะประสบการณ์ที่ยังขาด จนเมื่อชำนาญดีแล้ว หลังๆก็ไม่เคยล้มง่ายๆอีก ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปใช้คันไหน หนักเท่าไหร่ cc เท่าไหร่
5. ความคิดที่ว่าซื้อทีเดียวจบ ของคนที่ไม่เคยขี่รถใหญ่มาก่อน จะแน่ใจได้อย่างไรว่า รถสปอร์ต หรือ ทัวริ่ง 1000 cc ที่ทุ่มหมดหน้าตัก โดยคิดว่าซื้อมาจะเป็นแนวทางเป็นสไตล์ที่ใช่ พอได้ขี่จริงกลับไม่ชอบ ปวดหลังบ้าง ปวดข้อมือบ้าง คนซ้อนไม่โอเค รถหนักไป ใช้งานไม่คล่อง จนสุดท้ายก็ไม่ค่อยได้ขี่ต้องขายออก เพื่อไปหาแนวทางที่ใช้ต่อไป จากประสบการณ์ที่เจอมาเกือบทุกคน (ยกเว้นพวกที่ซื้อมาจอดสะสม) กว่าจะหาแนวทางที่ตัวเองชอบและจบได้ ก็ต้องผ่านรถอย่างน้อย 2-3 คันขึ้นไป
VS
สายสปอร์ต

สายทัวริ่ง

6. อุบัติเหตุที่เกิดกับรถซีซีสูง รุนแรงกว่า คนที่เชียร์ให้จบกับตัวพันไปเลย ถึงเวลาเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เขาไม่มารับผิดชอบอะไรด้วย รถ beginner bike มีพละกำลังไม่มาก ดังนั้นแม้จะมีสกิลการขับขี่ไม่สูง เบรกไม่ชำนาญ เปิดคันเร่งไม่ระวัง ก็ยังสามารถแก้อาการเอาตัวรอดได้ง่ายกว่า ในขณะที่รถซีซีสูง จะมีความนิ่งในตัวมาก หลอกให้มือใหม่ชะล่าใจ สนุกกับการใช้ความเร็ว แรงม้าของรถ แต่พอเกิดเหตุพลาดขึ้นมา จะแก้ตัวได้ยากแก้ไม่ทัน เป็นหลุมพลางดักคนหน้าใหม่ จนเห็นเป็นข่าวอุบัติเหตุเสียชีวิตอยู่เป็นประจำ อ่านบทความเพิ่มเติม บิ๊กไบค์อันตรายกว่าจริงหรือ? เปิดสถิติอุบัติเหตุที่คุณไม่รู้มาก่อน
7. การเปลี่ยนรถบ่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะเสมอไป สำหรับคนที่เพิ่งหัดเริ่ม หรือคนที่ยังไม่มั่นใจแนวทางของตัวเอง การหัดด้วยรถมือสอง เป็นตัวเลือกที่จะเซฟค่าใช้จ่ายได้ รถป้ายแดงทันทีที่ซื้อมาขี่ มูลค่าก็จะหายไปทันที 20-30% แต่หลังจากนั้นราคาก็จะค่อยๆลง แล้วก็จะถึงจุดอยู่ตัว ที่จะไม่ถูกไปกว่านั้นอีก เราสามารถหารถมือสอง สภาพใหม่ๆเดิมๆ ในราคาถูกกว่าซื้อใหม่ได้ถึง 30% และเมื่อฝึกขี่จนชำนาญแล้ว เมื่อขายต่อมูลค่าก็หายไปเพียงเล็กน้อย เป็นค่าประสบการณ์ที่คุ้มค่าทีเดียว

ถ้าหากเป็นมือใหม่จริงๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับรถเครื่อง 2 ล้อเลย และกังวลกับการซื้อมือสอง การซื้อรถ beginner bike ป้ายแดง 200-300cc มาฝึกหัดก่อน เวลาขาย ถึงราคาจะตก 30% แต่ก็ตกลงจากเงินต้นที่น้อยกว่า ขาดทุนน้อยกว่า (อย่าลืมว่า 30% จากหนึ่งแสน ถูกกว่า 30% จากห้าแสนมากนัก) พอได้ประสบการณ์ ความรู้ในระดับนึงแล้ว รถคันต่อไปก็สามารถหาซื้อมือสองสภาพดีๆได้ด้วยตัวเอง จนกว่าจะหาสไตล์ที่ใช้ แนวที่จบของตัวเอง ก็ค่อยหาซื้อป้ายแดงเก็บไว้ เป็นความภูมิใจของตัวเอง
จากความคิดแรกสุดที่ว่า ซื้อสปอร์ตตัวพันไปเลยจบ ไม่ต้องอัพอีก คุณอาจจะพบหลังจากที่ได้ขับขี่รถแนวสปอร์ต 200-300cc สักระยะว่า คุณไม่ชอบแนวนี้ จอดมากกว่าขี่ แล้วก็เริ่มหันไปมอง รถออโต้บ้าง บิ๊กสกูตเตอร์บ้าง วิบาก ครุยเซอร์ คลาสสิค แล้วมาจบกับรถทัวริ่ง เครื่อง 1200 ก็เป็นได้ครับ



8. หลายคนอาจมีความคิดรักพี่เสียดายน้องว่า จะเล่นเครื่อง 300 ก็กลัวไม่พอมือ จะเล่นตัวพันไปเลยก็กลัวอันตรายกับค่าใช้จ่าย งั้นเริ่มกลางๆที่ 500-600 ละกัน จะได้ไม่ต้องอัพบ่อย ซึ่งก็จริงในมุมนึง แต่ผมอยากจะฝากให้คิดดังนี้นะครับ อุบัติเหตุร้ายแรงส่วนมากมักเกิดกับบรรดารถคลาสกลางๆนี่แหละครับ ครูฝึกสอนขับขี่ท่านนึงเคยกล่าวไว้ว่า “รถคลาสกลางๆจอดเละสภาพยับเยินเต็มโรงซ่อม สาเหตุเพราะมือใหม่มักจะมาเริ่มจับตัวกลางๆกันมาก มือใหม่ที่ไปจับตัวพันตัวท็อปไปเลย กลับขับขี่ระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเกรงอันตรายกับค่าใช้จ่าย ส่วนมือใหม่ที่จับรถเล็กก็ไม่ค่อยเป็นอะไรหนัก อุบัติเหตุแรงๆกลับมาตกกับรถคลาสกลางๆเสียมาก”

ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผู้อ่านจะเลือกรถอะไรเป็นรถคันแรก ก็ขอให้อยู่ในความไม่ประมาท อย่าสนุกเพลินจนห้าว ย่ามใจ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้ระมัดระวังแค่ไหน ทั้งนี้ ศูนย์ Kawasaki Real MotoSports พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและให้บริการคุณ อยากรู้เรื่องรถปรึกษาได้ที่่ศูนย์ Kawasaki Real MotoSports
บทความโดย DimsumRacer ปอ

ปอ เป็นผู้ที่หลงไหลรถ 2 ล้อติดเครื่อง โดยมักหาความรู้ต่างๆจากหนังสือและสื่อต่างประเทศ เริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งแรกด้วยรถ 150cc ก่อนยุคบิ๊กไบค์บูมในไทย ก่อนจะมาใช้รถหลากหลายสไตล์และยี่ห้อ ตั้งแต่ 125-900cc ปัจจุบันเขาหลงไหลรถมอเตอร์ไซค์แนวคลาสสิคเป็นพิเศษ ที่เรียกตัวเองว่า ติ่มซัมเรซเซอร์ เพราะความชื่นชอบรถคาเฟ่เรซเซอร์ แต่ชงเอสเปรสโซ่เองที่บ้าน และขี่พาสก๊อยไปกินติ่มซัมมากกว่า